เทศน์เช้า

วันวิสาขบูชา เช้า

๑o พ.ค. ๒๕๔๑

 

วันวิสาขบูชา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พระเรามาเสวยสุข เพราะพระพุทธเจ้าวางระเบียบของศาสนาไว้ แล้วเราเกิดมาภายหลังไง มันมีวัฒนธรรมประเพณีอยู่แล้ว เรามาแค่อยู่ในช่วงของวัฒนธรรมประเพณีการตักบาตรตอนเช้าไง พระเราได้ประโยชน์ตรงนี้

อย่างเช่น หลวงปู่มั่นขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ใหม่ๆ ไม่มีใครไปทำประเพณีของพระกรรมฐานไว้ ทางเชียงใหม่เขาใส่บาตรช้ามาก ไปยืนรอทีหนึ่งเป็นชั่วโมงๆ กว่าจะได้ข้าวทัพพีหนึ่ง นี่มันมาเทียบถึงวัฒนธรรมประเพณี มันจะเห็นคุณของวัฒนธรรมประเพณีที่ว่าพระพุทธเจ้าวางไว้ แล้วพระเรามาเสวยสุขไง พระเรานี่มาเสวยสุข

วันนี้วันวิสาขบูชา เจ้าชายสิทธัตถะกำเนิดออกมา ประสูติออกมา แล้วให้พราหมณ์ ๘ คนมาดูลักษณะ พราหมณ์ ๗ คนบอกว่าเจ้าชายสิทธัตถะถ้าบวชจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่บวชอยู่ทางโลกจะได้เป็นจักรพรรดิ เป็นมหาราชไง สมัยก่อนอินเดียแบ่งการปกครองเป็นแคว้นๆ หลายประเทศ ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้บวช เจ้าชายสิทธัตถะจะเป็นมหาราช จะรวมทั้งหมดให้ได้เป็นประเทศเอกราช

แต่สุดท้ายเจ้าชายสิทธัตถะก็บวชเป็นพระพุทธเจ้า เพราะตอนนั้นยังไม่มีศาสนา การพยากรณ์ก็พยากรณ์ตามแต่สถิติ ตามแต่ทฤษฎีที่ตัวเองเรียนมา แต่ถ้าเป็นปัจจุบันหรือเป็นอย่างนั้นต้องบวชอย่างเดียว ต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว เพราะได้สร้างบุญบารมีมาแบบนั้นไง ได้สร้างบุญบารมีมาเป็นพระเวสสันดร ได้สละลูก สละเมีย เป็นมหาทานครั้งสุดท้ายที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องมาสละตรงนี้ไง สละลูก สละภรรยา สละทั้งหมด เพราะการสละนั้นเป็นการสละที่แสนยาก คนเราอยู่ด้วยกัน รักกัน เป็นห่วงเป็นใยกัน ความทุกข์ยากขนาดไหนที่สละลูกและสละเมียออกไป แล้วสละออกไปชูชกตีต่อหน้าด้วย มันเป็นความเจ็บปวดของกิเลส ความเจ็บปวดของความผูกพันไง

เพราะสละอันนั้นแล้วถึงว่าต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียวไง ได้สละมหาทานครั้งนั้นแล้ว เป็นพระเวสสันดร แต่ยังพยากรณ์กันอยู่ว่าจะเป็นจักรพรรดิต่อไป เพราะ! เพราะเอากิเลสเข้าจับไง เพราะเอากิเลส เอาความเห็น เอาทฤษฎี เอาความรู้เข้าไปจับว่าถ้าไม่บวชจะเป็นจักรพรรดิ เราก็เป็นจักรพรรดิ แล้วย้อนกลับมาสิ ถ้าเป็นจักรพรรดิ การเป็นจักรพรรดิ เกิดมาแล้วก็ตายไปด้วยความทุกข์ไง

จะเป็นจักรพรรดิ จะมีอำนาจขนาดไหน แต่อำนาจสูงขนาดไหนก็อยู่ใต้อำนาจของมัจจุราช อำนาจของมัจจุราชคุมทุกอย่าง ใครจะเหนือฟ้าขนาดไหน เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมก็อยู่ใต้อำนาจของมัจจุราชทั้งหมด แต่เป็นผู้ออกบวชนะ เกิดมาก็แสนทุกข์ ก่อนจะบวชเจอยมทูตทั้ง ๔ มาให้เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เพราะพ่อรู้ว่าจะออกบวช อุตส่าห์ไม่ให้เห็น ความเห็นอันนั้นมีความสลด คนเป็นอย่างนี้หรือ? ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นนะ แล้วออกบวชตอนที่สามเณรราหุลเกิด

นี่เจ็บตั้งแต่พระเวสสันดรแล้วหนหนึ่ง มาเจ็บตอนจะออกบวช ลูกเกิดแล้วไง ก่อนจะออกบวชเขามาบอกว่าลูกเกิดแล้ว ละล้าละลังเลยนะ จะขี่ม้าออกมาละล้าละลังเลย ใครไม่รักลูก ถ้าคนความคิดไม่ดีมันก็คิดไม่ดีไป แต่คนใฝ่ดีคนรักความดีมันต้องมีกระแสอันนี้ฝังไปในหัวใจ เพราะใจในซีกของความดี ซีกของความดีมันต้องมีความผูกพัน นี่ความรักความผูกพันมันเจ็บขนาดไหน? ก็ยังสละออกมา ยังมาบวชนะ

ออกจากมกุฎราชกุมาร อยู่ในรั้วในวัง อยู่ในสิ่งที่ประณีต ออกมาเป็นคนจัณฑาลมาขอเขากิน แล้วยังต้องมาศึกษา พูดถึงความเจ็บปวดมาตลอด ความเจ็บปวด เจ็บปวดภายใน ข้างนอกก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ความเจ็บปวดมันเป็นของจริง มันเป็นสัจจะ จนออกไปศึกษากับครูบาอาจารย์ต่างๆ ไม่ได้สำเร็จไง จนย้อนกลับมาถึงโคนต้นหว้าไง อานาปานสติ ความสำเร็จนี้เกิดจากกายและใจของเรา ผู้อื่น ผู้อาศัยนั้นเป็นอาศัยโลกภายนอก แต่กายกับใจ กิเลสมันเกิดที่หัวใจในกายนี้ไง

กายสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง มันมีความรู้สึกมันก็กระทบเข้าไปที่ใจ หัวใจที่มันมีกิเลสมันสะสมอยู่ แล้วใครเข้าไปแก้ไม่ได้ หมอจะผ่าตัดจะเปลี่ยนหัวใจก็เปลี่ยนได้แต่ก้อนเนื้อ ไม่สามารถเปลี่ยนกิเลสได้ไง ย้อนกลับมาอานาปานสติในค่ำคืนวันนี้ วันเพ็ญวิสาขบูชาได้ตรัสรู้ พอตรัสรู้ธรรมนะ พอกิเลสมันขาด ความเจ็บปวดที่ว่าเจ็บปวดๆ อันนั้นไม่มี มันขาดไปพร้อมกับการรู้ขึ้น อาสวักขยญาณ ความรู้อันนี้มันยิ่งกว่าจักรพรรดิ ยิ่งกว่าทุกๆ อย่าง แล้วตัวเองมีความสุขไง

ความทุกข์ที่มันเกิดจากใจแล้วมันหลุดออกไปมันจะสุขขนาดไหน? แล้วความสุขที่เสวยวิมุตติสุขอยู่ ๗ วัน ๗ วัน ๗ วัน จนครบ ๔๙ วันถึงจะออกมาสั่งสอน ออกมากล่าว แล้ววางวัฒนธรรมประเพณีอันนี้มาไง เช้าขึ้นมาถึงว่ามาเทศน์จนเกิดพระสงฆ์ มีการบิณฑบาตไง มีการบิณฑบาต มีการให้ทาน เพราะทุกคนมันมีการสะสม ความสะสมเอาไว้มันสะสมกองทุกข์ การสละออกถึงจะเป็นวัตถุมันก็สละยาก เพราะใจมันเกี่ยวพัน

พระพุทธเจ้าก่อนสละออก สละทั้งลูก สละทั้งเมีย เห็นไหม เราสละแค่ทานนี้ก่อน หัดสละทานนี้ก่อนเพื่อจะชำระตัวนั้นไง ย้อนกลับมา เพราะความคิดริเริ่มก่อนถึงจะมีการทำบุญ เรากำหนดมากี่วันแล้วว่าวันวิสาขะนี้จะมาวัด ความคิดริเริ่มตัวนั้น จนพระพุทธเจ้าตรัสรู้นะ ตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เห็นไหม ได้เยาะเย้ยมาร “มารเอย” ฟังสิ

“มารเอย เธอจะเกิดอีกไม่ได้ เพราะเราเห็นตัวเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริของเราเอง”

ความคิดเริ่มต้นที่เราคิดขึ้นมา กิเลสกับมารมันมาพร้อมกับความคิดนั้น แล้วพระพุทธเจ้าย้อนกลับไปดับตรงนั้นแล้ว

“มารเอย เธอจะเกิดอีกไม่ได้ เพราะเราเห็นการเกิดของเธอแล้ว”

เห็นความคิดที่มารมันจะแย่งความดี เราจะคิดอะไรก็แล้วแต่ มารมันจะแบ่งไปครึ่งหนึ่ง เพราะมันอยู่ที่หัวใจ คิดดีมันก็แบ่งไปครึ่งหนึ่ง ถ้าคิดไม่ดีมันไม่แบ่งนะ มันใสเลย อย่างนี้ถูกต้อง คิดไม่ดีมันจะผลักดันไปเลย นี่พระพุทธเจ้าไปชนะตรงนั้นไง ถึงจะเย้ยมารเลยนะ เย้ยมาร เย้ยเจ้าวัฏจักรเลยว่าไม่มีอำนาจเหนือกับหัวใจพระพุทธเจ้าดวงแรก พระพุทธเจ้าถึงเทศนาว่าการมาจนครูบาอาจารย์ตามหลังไป ตามหลังไป เราจะกลับไปตรงนั้นไง

การสละออกนี้ เห็นไหม ความคิดริเริ่มที่เราเจตนาจะสละทาน นี่เราเริ่มให้กิเลสมันเบาบางลง เราจะไปแย่งไอ้ความตระหนี่ แย่งความเห็นแก่ตัวในหัวใจเรานั่นล่ะ พระพุทธเจ้าวางไว้ตรงนี้ไง การสละทาน สละแล้วมันจะเข้าไปถึงหัวใจของเราไง เราหัดสละ หัดแก้ไข เพราะว่าคนอื่นทำให้เราไม่ได้ เพราะมันเป็นในหัวใจเรา หมอจะผ่าตัดก็ผ่าตัดก้อนเนื้อ เปลี่ยนหัวใจก็เปลี่ยนก้อนเนื้อไม่ได้เปลี่ยนความคิด ไม่ได้เปลี่ยนความคิดหรอก ไม่ได้เปลี่ยนกรรมหรอก ไม่ได้เปลี่ยนเจตนาของคนๆ นั้น เปลี่ยนไม่ได้ เพราะมันเป็นกิเลสของแต่ละหัวใจที่มาเกิด มันเป็นจิตปฏิสนธิแต่ละดวงๆ ที่มาเกิดนี้เท่านั้นเลย มันเป็นกรรมสะสมมาๆ จนพระพุทธเจ้าย้อนกลับไปดูบุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนกลับไปดูอดีตชาติของแต่ละดวงๆ ของพระพุทธเจ้าเอง ของสัตว์ ของทุกๆ คน แล้วเราก็เป็นแบบนั้น อยู่ในตาข่ายปัญญาของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าวางไว้อย่างนั้นแล้ว พระพุทธเจ้ารู้จริงตามความเป็นจริง คนตาใส เราคนตาบอด พระพุทธเจ้าเห็นทั้งหมด แล้วพระพุทธเจ้าสอนมาตามศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนั้นแล้ว ถึงได้ปฏิญาณตนว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าแล้ววางธรรมอันนั้นไว้ แล้วเราไม่เชื่ออันนี้หรือ? ถ้าเราเชื่อมันเป็นประโยชน์กับเราไง กระแสที่เราจะทำคุณงามความดี เราจะออกจากความทุกข์ อย่าว่าออกจากวัฏฏะเลย ออกจากความทุกข์ชั่วคราวๆ ในหัวใจเรานี่แหละ

นี่เริ่มต้นจากตรงนี้ เริ่มจากการให้วัตถุออกไปก่อน พอให้วัตถุแล้วมันจะย้อนกลับไป เพราะการให้นี่การขัดในหัวใจตัวนั้น การให้ตรงนี้ขัดกับกิเลสความตระหนี่ถี่เหนียวของเรา เห็นไหม ความที่เราผูกพัน ความเจ็บปวดเราก็ตระหนี่ไว้ เพราะว่าเราเจ็บปวด เขาทำเรา เขาว่าเรา มันจะเข้าไปชำระตรงที่เดียวกัน พระพุทธเจ้าถึงวางอุบายไว้ให้การสละทานไว้ไง

การสละทานนี้ให้อุบายไว้ แต่เราไม่มองตรงนี้ เราไปมองตรงที่ว่าเราให้ไปแล้วมีบุคคลได้ มีบุคคลรับ เราไม่ได้มองว่าเราสละแล้วเราได้ เพราะเราสละความตระหนี่ของเรา เราสละความที่ว่ามันสะสมในใจของเรา เราไม่มองตรงนี้ เราไม่มองผลไง นี่ปัญญาของเราไม่ทันพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าวางอุบายไว้ให้ชาวพุทธมีเครื่องดำเนินไง แต่เราก็ปัด เราก็ปัด ปัดเครื่องดำเนินของพระพุทธเจ้าว่าของครึ ของล้าสมัย ของเป็นไปไม่ได้ ของมา ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว

ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นอริยสัจ สมัยพุทธกาลทุกข์อย่างนี้ สมัยนี้ก็ทุกข์อย่างนี้ เพียงแต่สิ่งแวดล้อมของทุกข์ คือว่าไอ้พวกสิ่งแวดล้อม สิ่งที่เกิดขึ้นมันเปลี่ยนไป แต่ความทุกข์อันเดียวกัน ถ้ามีความทุกข์อยู่ ยังแก้ไขความทุกข์ได้อยู่ มัคคะอริยสัจจังยังเป็นประโยชน์อยู่ สิ่งใดที่เกิดขึ้นเป็นทุกข์ ดับทุกข์ได้อันนั้นเยี่ยม

พระพุทธเจ้าสอนตรงนั้นไง สอนตรงทุกข์เกิด รู้จักทุกข์ กำหนดทุกข์ รู้วิธีกำจัดทุกข์ อันนี้คืออริยสัจ พระพุทธเจ้าสอนตรงนั้น แต่อุบายเครื่องดำเนินนี้ต้องมี เพราะจะได้ให้คนเข้ามาใกล้ศาสนาขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีเครื่องดำเนิน ไม่มีทางเข้ามา เราจะเข้าไปถึงตรงไหนถึงตรงที่กำจัดทุกข์ ตรงกำจัดทุกข์มันลึกเกินไปจนเรามองไม่เห็นไง มันอยู่ที่ในกายของเรา มันอยู่ในหัวใจของเรา ศาสนาอยู่ที่พุทโธ อยู่ที่ผู้รู้ อยู่ที่กลางหัวอก เราเสาะแสวงหาไปก็ต้องเสาะแสวงหา การธุดงค์ไปธุดงค์เพื่อจะกำจัดทุกข์ แต่ต้องธุดงค์ไปเพื่อให้ใจมันเหน็ดเหนื่อย

เหมือนกับว่าจอมปลวก ปลวกมันอยู่ในจอมปลวก เราต้องล่อให้ปลวกออกมาจากจอมปลวก เราก็ต้องอาศัยอุบายล่อความตระหนี่ ล่อความเห็นแก่ตัวของใจออกมาให้เราพิจารณาไง เราเท่านั้นเป็นผู้ที่กำจัดเรา เราเท่านั้นถึงจะรู้กิเลสของเรา เราเท่านั้นไง พอมีเครื่องดำเนิน ความตระหนี่ ความติดขัดของเรามันติดขัดติดข้องไปหมดเลย แล้วเราพยายามทำออกไป ความตระหนี่ ความติดขัดอันนั้นคือการที่เราชำระมาตลอดโดยไม่รู้ตัวเลย

ดูปัญญาพระพุทธเจ้าสิ สงสารพวกเราขนาดไหน แล้ววางแนวทางไว้ขนาดไหน แล้วเราทำอะไรกัน นี่ถึงว่าคนตาบอดต้องเชื่อคนตาใสไง ต้องเชื่อผู้มีปัญญา เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทุกข์มาก่อน ท่านกำจัดทุกข์ของท่านได้แล้ว ท่านเสวยวิมุตติสุขตามความเป็นจริงแล้วท่านถึงเอาหัวใจที่เป็นสุขนั้นมาสอนพวกเราไง มาวางให้พวกเราดูไง เราจะเข้าถึงหรือไม่ถึงเราก็ต้องเชื่อ ปัญญาคุณไง

นี่วันวิสาขบูชา วันวิสาขะนะ มันพูดจากใจแล้วมันเศร้า เศร้าตรงนี้แหละ ตรงที่ว่าเราไม่เห็นคุณงามความดี เหมือนกับสิ่งที่เป็นประโยชน์เราปฏิเสธมัน เราปฏิเสธสิ่งที่เป็นคุณแก่เรา แต่เราไปเอาสิ่งที่เป็นโทษว่าเป็นเราไง เราไปกว้านสิ่งที่เป็นโทษ เรานึกว่าเป็นคุณแต่มันเป็นโทษ เป็นคุณก็เอาคุณชั่วคราว พระพุทธเจ้าบอกเลย

“การใช้ชีวิตของมนุษย์เรา เปรียบเหมือนเราวิดทะเลทั้งทะเลเลยเอาปลาตัวเดียว”

เราใช้ชีวิตมาทั้งหมดเลย เราว่าเป็นความสุข แต่ความสุขมันมีประโยชน์ตรงที่ว่าปลาตัวเดียว แต่ความเหนื่อย ความทุกข์ การวิดทะเลทั้งทะเลเพื่อเอาปลาตัวเดียวมันไม่คุ้มค่า มันไม่คุ้มค่า ถึงบอกว่าให้รู้จักชีวิตของเรา แล้วเราเอาชีวิตของเราให้มีหลักเกณฑ์

เมื่อวานมาถึงเทศน์เหมือนกัน เขามาใหม่ๆ เราบอกเลย

“เอาหนังสือไปดูไป ชีวิตจะได้มีเป้าหมาย”

เขาพูดเลยนะ “ครับๆ ชีวิตผมเคว้งคว้างมากเลย ผมอยากมีเป้าหมาย”

เราให้หนังสือไป “เอานะ เอาหนังสือไปอ่านกันนะ แล้วชีวิตนี้จะมีเป้าหมาย มีขอบเขตให้เรามีที่พึ่ง”

โอ้โฮ เขาสลดใจ พูดคำเดียวนะ “ครับๆๆ ชีวิตผมเคว้งคว้างมาก ผมมีความทุกข์มาก” เราให้หนังสือเขาไป

นี่ก็เหมือนกัน นี่เรามองไปอย่างนั้น เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์นะ ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นทุกข์ทั้งหมด เพราะพระพุทธเจ้าสอนว่าปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย คนจะเป็นคนได้ต้องมีปัจจัย ๔ ขาดปัจจัย ๔ นี้ความเป็นอยู่ของมนุษย์บกพร่องทันที เป็นไปไม่ได้

มนุษย์สมบัติ ความเป็นมนุษย์ต้องมีปัจจัย ๔ ทีนี้เราหาปัจจัย ๔ มาใช้แล้ว ไอ้สิ่งที่มันจะเพิ่มจากปัจจัย ๔ มานั้นเป็นบุญญาธิการ เป็นบุญกุศล เป็นโอกาสของเราแสวงหา ต้องทำ! ไม่ใช่ว่าเรามีโอกาสประกอบธุรกิจต่างๆ หรือเรามีการงานไปแล้วจะปฏิเสธ พระพุทธเจ้าไม่สอนตรงนั้น พระพุทธเจ้าสอนบอกว่าหน้าที่ของคน คนคือผลงาน อริยมรรคไง ความเพียรชอบ ความดำริชอบ การงานชอบ

พระพุทธเจ้าไม่ให้ทิ้งงานนะ พระพุทธเจ้าบอกให้ทำงาน แต่ทำงานในเนื้องาน แต่พวกเราทำงานแล้วหวังเป้าหมายมากกว่านั้น พอทำงานตูมปั๊บจะเป็นอย่างนั้นไง ไอ้ตัณหาความทะยานอยากนอกจากงานนั้นพระพุทธเจ้าให้ละตรงนั้น แต่เราละไม่ได้ มันอยู่ใกล้ๆ กันแต่เรามองไม่เห็น ต้องละตรงที่ว่าเราต้องการ หรือว่าตัณหาความทะยานอยากที่อยากมากกว่านั้นไง แต่หน้าที่ตามงานนั้นทำจบก็จบ เราสบายใจ แต่เป้าหมายนะ เป้าหมายนี้ไม่ผิด แต่ตัณหาความทะยานอยากมันอยากโดยไม่มีเหตุผลไง ไม่มีขอบเขต กิเลสนี้ล้นฝั่ง ไม่มีขอบเขตจะจำกัดมันได้เลย

แต่เป้าหมายนี้เป็นอธิษฐานบารมี บารมี ๑๐ ทัศไง พระพุทธเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้า เพราะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เห็นไหม ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี อธิษฐานบารมี เป้าหมายคือการอธิษฐาน เรามีเป้าหมายแล้วเดินเข้าเป้าหมายนั้น ถ้าจ้องเป้าหมายแล้ว แล้วก็มีตัณหาความทะยานอยากอยากเข้าเป้าหมายนั้น แล้วก็นอนนะ นอนเฉย แต่เราตั้งเป้าหมายไว้แล้ว นั่นล่ะตัณหาความทะยานอยากเป็นแบบนั้น คือว่ามันไม่ทำอะไรเลย แล้วมันก็คิดเอง จินตนาการ

ตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาหามาตันไง ตันตัวเอง เอาตัวเองมืดบอด ตันไว้หมดเลย ปิดกั้นตัวเองไว้ด้วยความคิดของตัวไง แล้วทะลุความคิดของตัวเองออกไปไม่ได้ไง มันก็เลยเป็นทุกข์ เห็นไหม ทุกข์อันนี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่รู้เรื่องเลย เราไปกว้านมา ทุกข์ตามอริยสัจ ทุกข์คือการเกิด ชาติเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การเกิดนี้เริ่มต้นเลย แต่เราปฏิเสธการเกิดไม่ได้เพราะว่าเรามีกรรม เรามีกระแส

เมล็ดพืชพันธุ์มันเป็นเมล็ดพืชพันธุ์ที่ปกติ ลงดินมันต้องเกิดตามธรรมชาติของมัน จิตดวงนี้มีตัณหา มีกิเลส มันต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน มันต้องวนไปในวัฏฏะนี้ ต้องเกิดๆ ดับๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีดวงจิตดวงไหนเลยที่จะไม่ต้องเกิดแล้วไม่ต้องตาย ไม่มีเลย ต้องไปตามธรรมชาติของมัน มันเป็นสสารตัวหนึ่ง ตัวธาตุรู้เป็นเมล็ดพันธุ์อันหนึ่งที่ต้องไปเกิดๆๆ แล้วก็เกิดตายอยู่อย่างนี้ตลอดไป

ยกเว้นแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้นมาชำระสะสางจนสะอาดบริสุทธิ์ ถึงว่า “จิตบริสุทธิ์ไง” จิตดวงนี้บริสุทธิ์ ข้ามพ้นจากกิเลสไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง อันนี้เป็นสุขอย่างยิ่ง สุขที่ไม่เจือด้วยอามิสทั้งหมดเลย นี่พระพุทธเจ้ารู้อย่างนั้นนะ

วันวิสาขบูชา วิสาขบูชานะ เกิด พระพุทธเจ้าได้เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิด ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า เกิดอีกทีหนึ่งนะ เพราะเกิดดับกิเลส เกิดในธรรมไง เกิดขึ้นมาอีกทีหนึ่ง แล้วก็ตายจริงๆ ตายสำหรับละขันธ์ไง ละขันธ์ ๕ ตายสละขันธ์ ๕ สละร่างของมนุษย์ไง แต่หัวใจไม่มีวันตาย วันที่เกิดแสวงธรรมอันนั้น อันนั้นกิเลสตาย กิเลสตายแล้วจะไม่มีอะไรตายอีกเลย จะไม่มีเกิดแล้วไม่มีอะไรดับในหัวใจดวงที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกแล้ว ตั้งแต่วันตรัสรู้จะไม่มีการเกิดการดับอีก อิ่มพอตลอดเวลา

แล้ววันตายวันนี้ วันตายจากละร่างกายนี้ มันเป็นละร่างกายตามสมมุติ แต่หัวใจนั้นพ้นไป ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว เพราะหัวใจนั้นพ้นตั้งแต่วันตรัสรู้ แต่มันมีเศษส่วนคือมีร่างกายอยู่ อย่างเช่นเรานั่งมาในรถ สักวันหนึ่งเราต้องสละรถออกไป คนขับรถต้องออกจากรถ คนขับรถจะนั่งอยู่ในรถไปไม่ได้ แต่คนขับรถกับรถมันคนละส่วนกัน ร่างกายเหมือนรถ หัวใจเหมือนเรา ถึงจุดหนึ่งแล้วต้องสละออกจากกัน เพราะรถกับเราไม่ใช่อันเดียวกัน รถมันเป็นเหล็ก เราเป็นมนุษย์ เราต้องออกจากรถนั้นไปทำงานอื่น

หัวใจก็เหมือนกัน หัวใจไม่ใช่เนื้อ หัวใจเป็นนามธรรม หัวใจต้องสละร่างกายออกไป ถึงวันนี้ไง ถึงตายอีกหนหนึ่ง ตายเพื่อสละร่างกาย เพราะว่ามันแปรสภาพอยู่ มันเก่า มันชราคร่ำคร่าต้องสละมันทิ้งไป นี่ถึงว่ามันไม่มีวันตาย แต่ทางโลกเราเห็นว่าตาย เพราะตายจริงๆ แต่ตายด้วยสมมุติไง พ้นออกไปวิมุตติไง นั่นศาสดาองค์เอกไง ถึงว่าศาสนานั้นเยี่ยมมากเลย

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอันประเสริฐ ประเสริฐจริงๆ แต่เพราะคนอื่นเขาทำให้เรามึนชาไง ว่าศาสนาพุทธกับศาสนาอื่นเหมือนกัน ไม่เหมือน! ไม่เหมือน! ศาสนาอื่นไม่มีตรงนี้ ไม่มีตรงนี้ ศาสนาอื่นเป็นลัทธิความเชื่อ เป็นพิธีกรรม เป็นการบอกเล่า เป็นคนที่มีปัญญาบอกพิธีกรรมเท่านั้น ไม่มีมัคคะอริยสัจจัง ไม่มีการชำระกิเลส ไม่มี ศาสนาพุทธนี้เท่านั้น เท่านั้นเลย ถึงว่ามันประเสริฐ ประเสริฐมาก ประเสริฐจนเราเข้าไม่ถึง พอเข้าไม่ถึงเราเลยปฏิเสธไง ปฏิเสธสิ่งที่ว่ามันไม่น่าจะมี ไม่น่าจะมี ไม่น่าจะเป็นไปได้

มันเป็นไปได้ตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงสำหรับว่าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เหตุมันพอผลต้องเป็นไปโดยธรรมชาติของมันเลย โดยตามความเป็นจริงของมันเลย ปฏิเสธไม่ได้เลย เพียงแต่เราไม่มีเหตุเข้าไปพอเท่านั้นเอง